Bloody Mary
เธออาศัยอยู่ในป่าลึกในกระท่อมเล็ก ๆ และขายสมุนไพรเพื่อการดำรงชีวิต คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใกล้เคียงเรียกเธอว่า บลัดดีแมรี และบอกว่าเธอเป็นแม่มดไม่มีใครกล้าข้ามไปที่รูปปั้นเก่าแก่เพราะกลัวว่าวัวของพวกเขาจะแห้งร้านขายอาหารของพวกเขาเน่าไปก่อนฤดูหนาวลูก ๆ ของพวกเขาป่วยเป็นไข้
จากนั้นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในหมู่บ้านก็เริ่มหายไปทีละคน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปจากที่ไหน ครอบครัว Grief-stricken ค้นหาป่าอาคารในท้องถิ่นและบ้านและโรงนาทั้งหมด แต่ไม่มีวี่แววของเด็กหญิงที่หายไป วิญญาณที่กล้าหาญบางคนถึงกับไปที่บ้านของบลัดดีแมรีในป่าเพื่อดูว่าแม่มดพาเด็ก ๆ ไปหรือไม่ แต่เธอปฏิเสธความรู้เรื่องการหายตัวไปของใคร ถึงกระนั้นก็เป็นที่สังเกตว่าการปรากฏตัวของเธอซีดเซียวมีการเปลี่ยนแปลง เธอดูอ่อนเยาว์น่าดึงดูดยิ่งขึ้น เพื่อนบ้านสงสัย แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแม่มดได้ยึดลูกอ่อนของพวกเขาแล้ว
แล้วคืนนั้นเมื่อลูกสาวของมิลเลอร์ลุกขึ้นจากเตียงของเธอและเดินออกไปข้างนอกตามด้วยเสียงที่น่าหลงใหลไม่มีใครได้ยิน ภรรยาของมิลเลอร์มีอาการปวดฟันและนั่งอยู่ในห้องครัวเพื่อรักษาฟันด้วยสมุนไพรเมื่อลูกสาวของเธอออกจากบ้าน เธอกรีดร้องให้สามีและติดตามผู้หญิงออกไปนอกประตู มิลเลอร์เข้ามาทำงานในชุดราตรีของเขา พวกเขาพยายามกันยับยั้งผู้หญิงคนนั้น แต่เธอก็แยกตัวออกห่างจากพวกเขาและมุ่งหน้าออกนอกเมือง
เสียงร้องที่สิ้นหวังของมิลเลอร์และภรรยาของเขาปลุกเพื่อนบ้าน พวกเขามาเพื่อช่วยเหลือคู่รักที่คลั่งไคล้ ทันใดนั้นชาวนาที่มีตาเฉียบแหลมก็ตะโกนและชี้ไปที่แสงแปลก ๆ ที่ขอบป่า ชาวเมืองสองสามคนเดินตามเขาเข้าไปในทุ่งและเห็นบลัดดีแมรียืนอยู่ข้างต้นโอ๊กขนาดใหญ่ถือไม้กายสิทธิ์ที่ชี้ไปที่บ้านของมิลเลอร์ เธอเปล่งประกายด้วยแสงพิลึกในขณะที่เธอวางคาถาชั่วร้ายไว้กับลูกสาวของมิลเลอร์
ชาวเมืองจับปืนและโกยและวิ่งไปหาแม่มด เมื่อเธอได้ยินเสียงโกลาหล Bloody Mary ก็หยุดเวทย์มนตร์แล้วหนีกลับเข้าไปในป่า ชาวนาที่มองการณ์ไกลได้บรรจุกระสุนปืนด้วยกระสุนเงินในกรณีที่แม่มดมาหลังจากลูกสาวของเขา ตอนนี้เขาเล็งและยิงใส่เธอ กระสุนพุ่งชน Bloody Mary ที่สะโพกและเธอล้มลงกับพื้น ชาวเมืองที่โกรธแค้นกระโจนใส่เธอแล้วพาเธอกลับไปที่สนามซึ่งพวกเขาสร้างกองไฟขนาดใหญ่ขึ้นมาและเผาเธอที่เสา
เมื่อเธอถูกเผา Bloody Mary ก็ส่งเสียงสาปแช่งชาวบ้าน หากใครพูดถึงชื่อของเธอออกมาดัง ๆ ต่อหน้ากระจกเธอก็จะส่งวิญญาณของเธอเพื่อแก้แค้นตัวเองเมื่อพวกเขาตายอย่างสาหัส เมื่อเธอตายไปชาวบ้านก็เข้าไปในบ้านด้วยไม้และพบหลุมศพที่ไม่มีเครื่องหมายของแม่มดตัวน้อยที่แม่มดชั่วร้ายได้สังหารเธอใช้เลือดของพวกเขาเพื่อทำให้ตัวเองยังเด็กอีกครั้ง
จากวันนั้นถึงวันนี้ใคร ๆ ก็โง่พอที่จะสวดมนต์ชื่อ Bloody Mary สามครั้งก่อนที่กระจกที่มืดจะเรียกวิญญาณที่พยาบาทของแม่มด ว่ากันว่าเธอจะฉีกร่างของพวกเขาเป็นชิ้น ๆ และฉีกวิญญาณออกจากร่างกายที่ถูกทำลาย วิญญาณของคนที่โชคร้ายเหล่านี้จะถูกเผาไหม้ด้วยความทรมานเมื่อบลัดดีแมรีถูกเผาครั้งเดียวและพวกเขาจะถูกขังอยู่ตลอดกาลในกระจก
- เข้าไปในห้องน้ำ ปิดไฟแล้วมองเข้าไปในกระจก ห้องต้องมืดพอจนกระจกกลายเป็นสีดำ แล้วก็พูดว่า Bloody Mary 13 ครั้ง จะมีผู้หญิงโผล่ออกมาในกระจก แล้วก็ข่วนหน้าคนเรียก (แล้วจะเรียกมาทำไมอ่ะ -*-)
- พูดว่า "Hell Mary" เจ็ดครั้งหน้ากระจกในห้องมืด จะเห็นภาพซาตานปรากฎขึ้นบนกระจก บางคนก็กล่าวว่าหลังจากพูด Hell Mary สามครั้ง กระจกจะกลายเป็นสีแดงแล้วจะเห็นหน้าคนลางๆเลือนๆ
- เข้าไปในห้องที่ปิดไฟ จะดีมากถ้าเป็นห้องน้ำ ให้กระซิบคำว่า "Bloody Mary" ไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นเสียงมันจะดังขึ้น ดังขึ้นเอง จนกลายเป็นเสียงกรีดร้อง ระหว่างที่พูดตัวเราจะหมุน ให้เหลือบมองไปที่กระจก หลังพูดคำที่ 13 "เธอ" จะปรากฎขึ้นมา อันนี้คนเล่าเค้าเขียนเพิ่มเติมว่ามีคนรู้จักของเค้าเคยลองจริงๆแล้ววิ่ง ร้องออกมาจากห้องน้ำ ใครถามก็ไม่ยอมบอก แต่คนที่เห้นบอกว่าที่นิ้วของเค้ามีเลือดติด
เต็มเลย หลอนดี
บลัด ดี้แมรี่ยังมีชื่ออื่นๆอีกคือ Bloody Bones,Hell Mary,Mary Worth,Mary Worthington,Mary Whales,Mary Johnson,Mary Lou,Mary Jane,Sally,Kathy,Agnes,Black Agnes,Aggie,Svarte Madame,Bloody mirror
พิธี อัญเชิญมีหลายแบบ บางที่ก็บอกให้จุดเทียนเล่มเดียว บางที่ก็ให้จุดสองด้านของกระจก ส่วนถ้าอยากเจอกันแบบเป็นกลุ่มๆก็ให้คนนึงเป็นตัวแทนไปเรียกหน้ากระจก ส่วนการเรียก จะร้องว่า "Bloody Mary I killed your baby!" ก้ได้
หลัง จากที่วิญญาณปรากฎแล้ว บางที่ก็บอกว่าจะฆ่าคนเรียกให้ตาย ทำให้เป็นบ้า ควักลูกตา ข่วนหน้าแหก ฯลฯ หนักหน่อยบางที่บอกว่าพอออกมาแล้วก็จะพาคนเรียกเข้ากระจกไปอยู่ด้วยกันด้วย
การ ค้นคว้าเรื่องนี้เริ่มโดย Janet Laglois โฟล์คลอริสท์(ไม่รู้จะแปลว่าไงดี นักเล่านิทาน?)ตีพิมพ์ตำนานนี้ในอเมริกา เค้าว่าส่วนใหญ่คนที่เรียกแมรี่จะเป็นเด็กผู้หญิง แต่เด็กผู้ชายก็มีบ้างเหมือนกัน บลัดดี้แมรี่เป็นตำนานพื้นบ้านที่สมัยเค้าเด็กๆ(ช่วงปี 1970s) รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เป็นพิธีที่มักทำเล่นกันในห้องน้ำ เพราะว่าห้องน้ำในชานเมืองสมัยก่อนมักจะติดกระจกใหญ่ๆไว้แล้วก็ไม่ทำ หน้าต่าง เวลาปิดไฟห้องเลยมืดได้ใจ
มีอยู่เรื่องนึงที่อัญเชิญแตก ต่างกับแบบแผนส่วนใหญ่ คือแทนที่จะบอกว่าเชื่อ แต่ผวนเป็นบอกว่าไม่เชื่อแทน คนเล่นตะโกนใส่กระจกว่า "I dont blieve in Mary Worth"แล้วกระโดดหนีออกมาจากห้องน้ำ ผลก็คือ สะดุดล้มลงสะโพกหัก ซวยไป
บาง ที่บอกว่าแมรี่เป้นแม่มดที่ถูกเนรเทศเมื่อร้อยกว่าปีก่อนในข้อหาใช้มนตร์ดำ แต่บางที่ก็บอกว่าเป็นผู้หญิงในยุคเราๆนี่แหละ ที่ตายในอุบัติเหตุรถชนแล้วหน้าถูกรถอัดเละเทะ บางที่ก็ว่าเป็นผีของผู้หญิงที่ฆ่าลูกของตัวเองหลังจากแต่งงาน เป็นฆาตกรฆ่าแล้วกินเด็ก ว่าไปถึงเป็นผีแท้ๆแบบไม่เคยเป็นคนเลยก็มี
ส่วน ใหญ่ไม่ค่อยมีเรื่องเล่าถึงตอนหลังที่เรียกเสร็จมากนักเพราะคนส่วนมากจะปอด จนเผ่นออกมาจากห้องก่อนที่จะพูดคำสุดท้ายจบ ไม่ก็พูดจบแต่ไม่ยอมมองกระจก คนที่เล่นส่วนมากจะเป็นเด็กอายุประมาณ 9-12 ปีซึ่งเป็นวัยที่นักจิตวิทยาเรียกว่า The Robinson Ages คือเป็นช่วงที่เด็กจะพอใจกับความตื่นเต้นที่ได้เล่นในเรื่องลึกลับน่ากลัว
บลัดดี้แมรี่ในความหมายนี้ถูกนำไปสร้างเป็นตอนหนึ่งในซีรีส์ที่ชื่อ The Urban Legends (ตำนานพื้นบ้าน) ด้วย
เสริม นิดๆ ความเชื่อในการเรียกผีจากกระจก เค้าว่าเพราะในอดีตมีความเชื่อว่าเราจะเห็นวิญญาณของคนตายได้ในกระจกจนกว่า ร่างของวิญญาณนั้นจะถูกเอาไปฝัง เพราะในอดีตเวลาคนในบ้านตาย สมาชิกครอบครัวเค้าจะเอาแต่งตัวใส่โลงตั้งไว้ในบ้านจนกว่าจะถึงวันฝัง วิญญาณเลยยังวนเวียนในบ้านอยู่แล้วถูกจับได้ในกระจก เราเลยสามารถเห็นได้
นอก จากจะใช้กระจกในการเรียกผีแมรี่ออกมาแล้ว เด็กผู้หญิงสมัยก่อนก็มักใช้กระจกดูเนื้อคู่ของตัวเองด้วย เรื่องที่ฮิตๆก็อย่างเช่นปอกแอปเปิลหน้ากระจกตอนเที่ยงคืน ร้องเพลงในคืนพิเศษแล้วมองผ่านกระจกอย่างเร็วๆจะเห็นหน้าของเนื้อคู่ลางๆ เป็นต้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น